เชลยศึกผู้รอดตายจากการสร้าง ทางรถไฟสายมรณะ Death Railway เผยเรื่องที่สุดจะทน

Loading...

ทางรถไฟสายมรณะ (Death Railway) ทางรถไฟสายนี้เริ่มต้นจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ผ่านจังหวัดกาญจนบุรีข้ามแม่น้ำแควใหญ่ โดยสะพานข้ามแม่น้ำแควไปทางทิศตะวันตกจนถึง ด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อให้ถึงปลายทางที่เมืองทันบูซายัด ประเทศพม่า

ภาพแผนที่แสดงถึงเส้นทางการสร้างทางรถไฟ (เส้นสีแดง)

journeys-to-railway

 

ทางรถไฟสายมรณะมีความยาวจากหนองปลาดุกถึงสถานีทันบูซายัดรวม 415 กิโลเมตร เป็นทางรถไฟอยู่ใน
เขตประเทศไทยประมาณ 303.95 กิโลเมตร และอยู่ในเขตพม่า 111.05 กิโลเมตร สร้างขึ้นในสมัยสงคราม
โลกครั้งที่ 2 ใช้เวลาในการสร้างเสร็จเพียง 1 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2485 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486
เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่าโดยใช้แรงงานเชลยศึกของสัมพันธมิตรที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์
มาสร้าง

9

 

แต่สิ่งที่ทำให้ทางรถไฟสายนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก หาใช่เพราะความสวยงามอลังการใดใด หากแต่คำ
ตอบที่แท้จริงคือ ความโหดร้ายทารุณ และความยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเชลยศึก ทำให้ทางรถไฟสายนี้ ถูกเรียก
ว่า เป็นทางรถไฟสาย “มรณะ”

บรรดาเชลยศึกประเทศพันธมิตร ที่ญี่ปุ่นกวาดต้อนมาจากฟิลิปปิสน์ อินโดนียเซีย สิงคโปร์ มลายู และกรรมกร
ทั้งไทย จีน แขก ซึ่งมีจำนวนรวมประมาณ 170,000 คน ส่วนหนึ่ง ต้องเสียชีวิตลง เพราะความโหดร้ายทารุณ
ทั้งจากทหารญี่ปุ่น และจากภัยธรรมชาติถึงแสนคน และพวกที่ต้องพิกลพิการอีกนับหมื่น เพียงเพื่อสร้างทาง
รถไฟสายเดียวที่ยาว ไม่กี่ร้อยกิโลเมตร

1

 

จึงนับว่าเป็นโศกนาฏกรรม อันใหญ่หลวงของมนุษย์โลก ที่ใครๆ ก็ไม่สามารถลบออกไปจากความทรงจำได้
และที่กล่าวกันว่า “ทางรถไฟสายนี้ ฝ่ายพันธมิตร ต้องสูญเสียไป 1 ศพ ต่อ 1 ไม้หมอนที่รองรางรถไฟ” นั้น ก็
คงไม่เกินเลยไปจากความจริงแต่อย่างใด

2

 

ดังบันทึกของ George Voges อดีตเชลยศึกที่เขียนไว้ใน THAILAN – BURMA RAIL ROAD

VogesTreiber-M1844_Page_2

 

เราต้องรับผิดชอบในการสร้างสะพาน สองสะพาน ซึ่งห่างประมาณ 1 ไมล์จากค่าย หลังอาหารเช้า แล้วเราก็
เดินแถวเรียงหนึ่ง เพื่อไปทำงาน ต้องพกเอาอาหารกลางวันติดตัวไปด้วย และทำงานจนถึง 6 โมงเย็นทุกวัน

เราถือเหล็กแหลม ไม้ เชือก ไปที่สร้างสะพาน สะพานหนึ่งยาว 40 หลา อีกสะพานหนึ่ง สั้นกว่าเล็กน้อย ข้าม
แนว 2 แห่ง ซึ่งลึกเกินไป หากจะคิดถมดิน มันไม่ใช่งานของผู้มีความรู้ ด้านวิศวกรรม แต่วิธีการสร้างแบบของ
ญี่ปุ่นนั้นง่าย และอายุการใช้งานเพียงชั่วคราว

4

 

ครั้งแรก ตั้งเสาเอาตะลุมพุกกระแทกเข็มลงในดิน ใช้คนสองชุดสำหรับดึงเชือกหลายเส้น แล้วปล่อยลูกตุ้ม
กระแทกให้เข็มใหญ่ลึกลงไปในดิน เมื่อเข็มเหล่านี้หยั่งลึก และได้ระดับดีแล้ว ก็สร้างสะพานไม้ บนฐานไม้เหล่า
นั้น

เชลยสงครามบางคนนั่งถาก แต่งเสาเข็มให้แหลม บางคนาดึงเชือกลากลูกรอก เอาไม้สักขึ้นจากแม่น้ำระยะ 30
ฟุต จากเบื้องล่างอะไรก็พอทน แต่แสงแดดในยามบ่าย แผดเผาผิวหนังพวกเรา จนไหม้เกรียม

ART25106-e1388798352611

 

แถมกางเกง ซึ่งไม่มีจะนุ่งด้วย เอาเศษผ้ามาทำเป็นผ้าเตี่ยว ปกปิดบังเพศไว้เพียงนิดเดียว เหงื่อไหลโทรมกาย
ไหลเข้าตาแสบ การฉุดดึงไม้ใหญ่ให้เข้าที่ ไม่ต่างจากทาส ฟาโรห์ สร้างปิระมิดในอียิปต์สมัยโบราณ

นั่งร้านสูง มีทหารญี่ปุ่นคนหนึ่ง คอยบอกให้สัญญาณ ปล่อยลูกตุ้ม ลงบนเข็ม แล้วก็เริ่มลากชักไปใหม่ เสียงนับ
1 – 2 ดังตลอดเวลาบ่าย มือพอง เลือดไหล แสงแดดในยามบ่าย ไม่เคยเวทนาปรานีใคร พอ 6 โมงเย็น เราก็
ลงอาบน้ำพร้อมๆ กับพลทหาร

11

 

สิ่งที่กล่าวมานี้ เป็นงานประจำวันของชุดเชลยสงคราม ระดับนายทหารสัญญาบัตร จนสะพาน 2 แห่งนี้แล้วเสร็จ
และเราออกจากค่ายชนไก่ ด้วยเวลาเพียงวันเดียว เราเอาซุงขนาดใหญ่ขึ้นจาก แม่น้ำ 88 ตัน ด้วยมือและเรี่ยว
แรงของมนุษย์ แล้วแบกต่อไปอีก 60 หลา วางซ้อนไว้ ทำไปจนกว่า จะหมดแรงหรือเจ็บป่วย

228536-130928-rev-burma-railway

 

การสร้างทางที่ท่าขนุน (ทองผาภูมิ ในปัจจุบัน) ว่า… เป็นช่วงที่พวกเราจะต้องรับผิดชอบ ทำดิน พูนดิน และ
ทำสะพาน ภูมิประเทศช่วงนี้ สุดลำเค็ญ ด้านหนึ่งของขอบถนน เป็นเขาชั้นหนึ่งในสาม สูงหลายร้อยฟุต ยอด
เขาปกคลุมด้วยไผ่ และป่าสูง และด้านข้างๆ มีสภาพเป็นเหว หวาดเสียว ไม่น่าดูเลย

สำหรับความลึก ตรงที่เป็นเหวลึกนี้ พวกเชลย จะต้องขุดเจาะ ทำทางรถไฟเลาะไปตลอด และขนดิน หิน ไม่ให้
ขวางทาง และจะต้องยืนทำงานตัวตรง ทำมุมกับหน้าผาก 60 องศา และหุบเขาแห่งหนึ่งๆ ก็หมายถึงสะพาน
หรือท่อน้ำลอดถ้าไม่ถูกบีบบังคับที่เช่นว่านี้ ทำเองก็คงต้องใช้เวลา หลายปี…

Railway-of-Death

และอีกตอนหนึ่ง บรรยายถึงสภาพความโหดร้ายว่า เมื่อวานนี้เสียชีวิต 9 คน และก่อน 11 โมงเช้าวันนี้ ตายไป
อีก 2 คน บรรดากุลีเหล่านี้ (หมายถึง พวกทมิฬ คนงานที่กวาดต้อนมาจากมลายู) ได้เข้ามาอยู่ใน ประเทศไทย
ประมาณ 4 เดือน แพทย์สองคนได้บอกว่า อย่างน้อยๆ ตายไปแล้วถึงแสนคน

พวกเขา ตายอย่างไร ที่ตำบลท้องช้าง วันแรกๆ นายทหารผู้หนึ่ง ถูกโบยตีอย่างหนัก เพราะไม่ยอมสังหารคน
ป่วยทมิฬผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นอหิวาตก์ฯ ใกล้ตาย เขาออกไปพบกับ นายทหารอังกฤษคนอื่นๆ ทุกวัน เพื่อไปเก็บศพกุลี
เหล่านั้น ซึ่งคลานไปตายในป่า นำมาเผาเสีย

ภาพเฉลยศึกที่ป่วยนอนรอความตาย

10

ครั้งหนึ่ง ชาวทมิฬชราผู้หนึ่งยันตัวขึ้น ขณะอยู่ในเปล ซึ่งวางระหว่างศพ กำลังจะลงในหลุม ที่ฝังรวมกัน ทหาร
ญี่ปุ่นที่ควบคุม ก็ฟาดศีรษะทมิฬผู้นั้น ด้วยพลั่ว และนำร่างไปกองสุมรวมกันศพ เหล่านั้นก่อนที่จะถูกดินกลบ
วิธีกำจัดศพพวกทมิฬ โดยทั่วไป ก็คือ โยนศพลงไปในแม่น้ำ ส่วนมากจะถูกทิ้งให้ตายในที่แจ้ง ก่อนจะตาย ก็
ปล่อยให้นั่งจมอยู่ในบ่อส้วม (เพราะเป็นอหิวาตก์ฯ ถ่ายไม่หยุด) แมลงวันตอมเต็มตัว

ศพหนึ่งนั่งพิงต้นไม้ ถูกสัตว์ประเภทหนู – เม่น มาแทะ เหลือแต่กระดูกขาวโพลน ภายใน 48 ชั่วโมง โครง
กระดูกก็ยังอยู่ในลักษณะเดิม คือท่านั่งถ่าย…มีคนตายมากๆ เสียจนเวลาที่กลบดิน เกลี่ยดิน ปิดหลุมฝังศพหมู่
มือศพยังโผล่พ้นดินที่ถมขึ้นมา

สภาพร่างกายของเฉลยศึกดูแล้วขาดสารอาหารอย่างรุนแรง

5

คนเหล่านี้ต้องพบกับการตายอย่างทารุณ และทรมาน ทุกรูปแบบที่โลกนี้จะพึงมี….ทั้งหมดเป็นเพียงแค่บาง
เสี้ยวของเรื่องราว ที่ George Voges เขียนเล่าไว้ในบันทึกดังกล่าวของเขา

ทางรถไฟสายมรณะ ที่กลืนชีวิตเชลยศึก และกุลีชาวเอเชียที่ถูกบังคับไปนับแสนคน ได้สร้างเสร็จ และ
สามารถลำเลียงเสบียง และยุทโธปกรณ์ ได้วันละ 3,000 ตัน มีเวลาอยู่ได้ไม่ถึง 3 ปี

6

ในปี พ.ศ. 2488 เครื่องบินของฝ่ายพันธมิตร ได้มาทิ้งระเบิดสะพานข้าม แม่น้ำเสียหาย แต่เชลยศึก ก็ต้องเสีย
ชีวิตไปด้วยมากมายเช่นกัน เพราะการทิ้งระเบิด ไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่า แคมป์เชลยศึก ตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง

จนกระทั่ง ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามในปีเดียวกัน เพราะระเบิดปรมาณู 2 ลูก ที่สหรัฐฯ หย่อนลงในเมือง ฮิโรชิมา
และนางาซากิ ครั้นเมื่อสงครามปิดฉากลง ทุกสิ่งทุกอย่าง จึงกลายเป็นอดีตอันเศร้าสลด ให้กล่าวถึง ความโหด
ร้าย อันเป็นอมตะจนทุกวันนี้

8

ขอขอบคุณgungallery / รูปภาพจากอินเตอร์เน็ตทุกแหล่งที่มา ขอขอบพระคุณอย่างยิ่ง
เรียบเรียง/ลำดับภาพโดย : HotNews69

Loading...

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *